การหา java path on ubuntu สามารถทำงานไม่ยาก
ลิงค์ส่วนมากจะอยู่ใน /usr/bin/
วิธีการหา
แสดงรายละเอียดของลิงค์ที่ชื่อว่า java
เปิด terminal จากนั้นพิมพ์
$ls -l /usr/bin/java
lrwxrwxrwx 1 root root 22 2008-12-07 22:16 /usr/bin/java -> /etc/alternatives/java
ก็จะแสดงรายละเอียดประมาณนี้ ข้อความหลังจากเครื่องหมาย -> แสดงว่าไฟล์ java ใน /usr/bin/ นั้นลิงค์ไปที่ /etc/alternatives/java
เมื่อรู้เช่นนี้เราก็ ดูรายละเอียดของ /etc/alternatives/java อีกที
$ls -l /etc/alternatives/java
lrwxrwxrwx 1 root root 40 2008-12-07 22:34 /etc/alternatives/java -> /usr/lib/jvm/java-6-openjdk/jre/bin/java
ก็จะแสดงรายละเอียดของ java path
javapath คือ /usr/lib/jvm/java-6-openjdk/jre/bin/java
ศูนย์รวมทิป เทคนิคการใช้งานระบบปฏิบัติการลีนุกซ์ที่จะช่วยให้งานของคุณง่ายขึ้น อย่าลืมแวะเข้ามาอัพเดตได้ทุกวัน
วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
Restore Grub bootloader in Ubuntu 9.10
เมื่อเราได้ติดตั้งระบบปฏิบัติการที่ไม่ ใช่ Linux บนเครื่องคอมพิวเตอร์จะทำให้ GRUB bootloader ที่ถูกติดตั้งไว้หายไป ต่อไปเราจะมาเรียก GRUB นั้นคืนมาก
วิธีการ Restore GRUB bootloader
1. Boot Ubuntu จาก CD/USB flash driver ที่เราใช้ในการติดตั้ง Ubuntu
2. เปิด terminal ขึ้นมา (อาจใช้วิธีนี้ Alt+F2 type "gnome-terminal" แล้ว Enter)
3. พิมพ์
sudo fdisk -l
4. จากนั้นดูว่า Ubuntu ถูกติดตั้งไว้ที่ไหน /dev/sdxyโดยที่x หมายถึง drive ของคุณ และ y หมายถึง linux partition
ตัวอย่างนะครับ Linux ของผมติดตั้งไว้ที่ /dev/sda6
5. เมื่อรู้แล้วว่า linux ถูกติดตั้งไว้ที่ไหน ก็มาเริ่มกันเลย
6. พิมพ์
sudo mount /dev/sda6 /mnt
ใน terminal
7. ขั้นตอนนี้เป็นการติดตั้ง GRUB อีกครั้ง โดยคำสั่ง
sudo grub-install --root-directory=/mnt /dev/sdx
โดย x หมายถึง drive ของคุณ ในกรณีของผมเป็น /dev/sda
8. ทำการ unmount /mnt
sudo umount /mnt
วิธีการ Restore GRUB bootloader
1. Boot Ubuntu จาก CD/USB flash driver ที่เราใช้ในการติดตั้ง Ubuntu
2. เปิด terminal ขึ้นมา (อาจใช้วิธีนี้ Alt+F2 type "gnome-terminal" แล้ว Enter)
3. พิมพ์
sudo fdisk -l
4. จากนั้นดูว่า Ubuntu ถูกติดตั้งไว้ที่ไหน /dev/sdxyโดยที่x หมายถึง drive ของคุณ และ y หมายถึง linux partition
ตัวอย่างนะครับ Linux ของผมติดตั้งไว้ที่ /dev/sda6
5. เมื่อรู้แล้วว่า linux ถูกติดตั้งไว้ที่ไหน ก็มาเริ่มกันเลย
6. พิมพ์
sudo mount /dev/sda6 /mnt
ใน terminal
7. ขั้นตอนนี้เป็นการติดตั้ง GRUB อีกครั้ง โดยคำสั่ง
sudo grub-install --root-directory=/mnt /dev/sdx
โดย x หมายถึง drive ของคุณ ในกรณีของผมเป็น /dev/sda
8. ทำการ unmount /mnt
sudo umount /mnt
การกำหนด ip static ใน Linux
ข้อมูลต่างๆที่ต้องรู้ก่อนทำการ config นะครับ
=> Host IP address 192.168.1.100 ไอพีเครื่องที่เราจะตั้ง
=> Netmask: 255.255.255.0
=> Network ID: 192.168.1.0
=> Broadcast IP: 192.168.1.255
=> Gateway/Router IP: 192.168.1.254 ไอพีเครื่องที่ต้องการออกอินเตอร์เนต
=> DNS Server: 192.168.1.254
ขั้นตอนแรกเราต้องเข้าไปแก้ไขไฟล์ interfaces
$ sudo nano /etc/network/interfaces
เมื่อเปิดไฟล์ขึ้นมา หากเจอข้อความนี้
iface eth0 inet dhcp
ให้ทำการแก้ไขให้เป็น
iface eth0 inet static
address 192.168.1.100
netmask 255.255.255.0
network 192.168.1.0
broadcast 192.168.1.255
gateway 192.168.1.254
บันทึกไฟล์แล้วทำการ รีสตาร์ ( ไม่ใช่รีสตาร์คอมนะครับ )
$ sudo /etc/init.d/networking restart
ต่อมาทำการ config DNS SERVER
เปิดไฟล์นี่เพื่อทำการแก้ไข
$ sudo vi /etc/resolv.conf
เพิ่มข้อมูลของ DNS ลงไป
search myisp.com
nameserver 192.168.1.254
nameserver 202.54.1.20
nameserver 202.54.1.30
บันทึกไฟล์
ดูรายละเอียดของ network
$ ifconfig -a
ดูแต่ละอัน
$ ifconfig eth0
=> Host IP address 192.168.1.100 ไอพีเครื่องที่เราจะตั้ง
=> Netmask: 255.255.255.0
=> Network ID: 192.168.1.0
=> Broadcast IP: 192.168.1.255
=> Gateway/Router IP: 192.168.1.254 ไอพีเครื่องที่ต้องการออกอินเตอร์เนต
=> DNS Server: 192.168.1.254
ขั้นตอนแรกเราต้องเข้าไปแก้ไขไฟล์ interfaces
$ sudo nano /etc/network/interfaces
เมื่อเปิดไฟล์ขึ้นมา หากเจอข้อความนี้
iface eth0 inet dhcp
ให้ทำการแก้ไขให้เป็น
iface eth0 inet static
address 192.168.1.100
netmask 255.255.255.0
network 192.168.1.0
broadcast 192.168.1.255
gateway 192.168.1.254
บันทึกไฟล์แล้วทำการ รีสตาร์ ( ไม่ใช่รีสตาร์คอมนะครับ )
$ sudo /etc/init.d/networking restart
ต่อมาทำการ config DNS SERVER
เปิดไฟล์นี่เพื่อทำการแก้ไข
$ sudo vi /etc/resolv.conf
เพิ่มข้อมูลของ DNS ลงไป
search myisp.com
nameserver 192.168.1.254
nameserver 202.54.1.20
nameserver 202.54.1.30
บันทึกไฟล์
ดูรายละเอียดของ network
$ ifconfig -a
ดูแต่ละอัน
$ ifconfig eth0
วิธีตั้งค่า apt-get ผ่าน proxy Linux Ubuntu
เปิด Terminal จากนั้นเข้าไปแก้ไข ไฟล์ apt.conf
ซึ่งอยู่ใน /etc/apt/
ใช้ editor ด้วใดก็ได้ เช่น
$sudo gedit /etc/apt/apt.conf
จากนั้นให้เพิ่มสองบรรทัดต่อไปนี้โดยแทนค่าต่างๆให้สมบูรณ์
Acquire::http::Proxy "http://username:password@proxy:port";
Acquire::ftp::Proxy "ftp://username:password@proxy:port";
เซฟไฟล์แล้วลอง
$sudo apt-get update
เท่านี้ก็จะสามารถ apt-get ได้แล้วล่ะครับ
ซึ่งอยู่ใน /etc/apt/
ใช้ editor ด้วใดก็ได้ เช่น
$sudo gedit /etc/apt/apt.conf
จากนั้นให้เพิ่มสองบรรทัดต่อไปนี้โดยแทนค่าต่างๆให้สมบูรณ์
Acquire::http::Proxy "http://username:password@proxy:port";
Acquire::ftp::Proxy "ftp://username:password@proxy:port";
เซฟไฟล์แล้วลอง
$sudo apt-get update
เท่านี้ก็จะสามารถ apt-get ได้แล้วล่ะครับ
ดาวโหลดบิท ด้วยโปรแกรม Vuze Linux Ubuntu
ก่อนอื่นเราต้องไปดาวโหลดไฟล์เวอร์ชั่นล่าสุดจากทางเว็บ http://www.vuze.com/
ในที่นี้ใช้ vuze version 4.3(Linux) >> ดาวโหลดไฟล์
เมื่อเราได้ไฟล์มาเรียบร้อยแล้ว เปิด terminal ขึ้นมาเข้าไปใน path ที่เก็บไฟลล์อยู่
ระบบของเราต้อง support Java ด้วย
ตรวจสอบว่าเครื่องมี java version อะไร
$java -version
ในการ ติดตั้ง JAVA
$sudo aptitude install sun-java6-bin
- จากนั้นทำการแตกไฟล์ออกด้วยคำสั่ง
$tar xvjf Vuze_installer.tar.bz2
จากนั้นให้เราเข้าไปใน Folder
$cd vuze
$gedit azureus
เมื่อเปิดไฟล์ขึ้นมาแล้วให้หาข้อความบรรทัดนี้ในไฟล์
#PROGRAM_DIR=”/home/username/apps/azureus” # use full path to Azureus bin dir
เมื่อหาเจอแล้วให้ทำการ replace ด้วยข้อความข้างล่าง
PROGRAM_DIR=”/usr/share/vuze”
*ให้นำเครื่องหมาย # ออกหากมีเครื่องหมายแสดงว่าจะไม่ทำการ Process ข้อความบรรทัดนั้น
บันทึกไฟล์แล้วก็ปิดตัว Text editor
ต่อจากนี้เราจะทำการย้ายไฟล์ต่างๆให้เข้าไปอยู่ในระบบด้วย Terminal
เริ่มด้วยการย้ายไฟล์ azureus ไปไว้ที่ /usr/bin/
$sudo mv azureus /usr/bin/azureus
และอีกไฟล์ก็คือ vuze
$sudo mv vuze /usr/bin/vuze
จากนั้นให้ออกมาที่ directory ที่เก็บ folder vuze
$cd ..
และย้าย folder vuze ไปไว้ที่ /usr/share/
$sudo mv vuze /usr/share/vuze
จากนั้นจะระบุ permissions ของ folder /usr/shaer/vuze ให้โปรแกรมสามารถอัพเดตตัวเองได้
$sudo chown -R 777 /usr/share/vuze
เท่านี้ก็เสร็จการติดตั้ง ทดสอบรันโดยพิมพ์ ชื่อโปรแกรม ใน terminal
$vuze
หรือ
$azureus
นอกจากนั้นก็สามารถเพิ่มให้ main menu ได้อีกด้วย
ได้ให้ไปที่ System > Main Menu >internet >New Item
ให้เลือก
Type : Application
Name : vuze
Command : vuze
เท่านี้เราก็จะมีโปรแกรมโหลดบิทที่ดูดีใช้งานง่าย
หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไวั ณ ที่นี่ด้วย
ในที่นี้ใช้ vuze version 4.3(Linux) >> ดาวโหลดไฟล์
เมื่อเราได้ไฟล์มาเรียบร้อยแล้ว เปิด terminal ขึ้นมาเข้าไปใน path ที่เก็บไฟลล์อยู่
ระบบของเราต้อง support Java ด้วย
ตรวจสอบว่าเครื่องมี java version อะไร
$java -version
ในการ ติดตั้ง JAVA
$sudo aptitude install sun-java6-bin
- จากนั้นทำการแตกไฟล์ออกด้วยคำสั่ง
$tar xvjf Vuze_installer.tar.bz2
จากนั้นให้เราเข้าไปใน Folder
$cd vuze
$gedit azureus
เมื่อเปิดไฟล์ขึ้นมาแล้วให้หาข้อความบรรทัดนี้ในไฟล์
#PROGRAM_DIR=”/home/username/apps/azureus” # use full path to Azureus bin dir
เมื่อหาเจอแล้วให้ทำการ replace ด้วยข้อความข้างล่าง
PROGRAM_DIR=”/usr/share/vuze”
*ให้นำเครื่องหมาย # ออกหากมีเครื่องหมายแสดงว่าจะไม่ทำการ Process ข้อความบรรทัดนั้น
บันทึกไฟล์แล้วก็ปิดตัว Text editor
ต่อจากนี้เราจะทำการย้ายไฟล์ต่างๆให้เข้าไปอยู่ในระบบด้วย Terminal
เริ่มด้วยการย้ายไฟล์ azureus ไปไว้ที่ /usr/bin/
$sudo mv azureus /usr/bin/azureus
และอีกไฟล์ก็คือ vuze
$sudo mv vuze /usr/bin/vuze
จากนั้นให้ออกมาที่ directory ที่เก็บ folder vuze
$cd ..
และย้าย folder vuze ไปไว้ที่ /usr/share/
$sudo mv vuze /usr/share/vuze
จากนั้นจะระบุ permissions ของ folder /usr/shaer/vuze ให้โปรแกรมสามารถอัพเดตตัวเองได้
$sudo chown -R 777 /usr/share/vuze
เท่านี้ก็เสร็จการติดตั้ง ทดสอบรันโดยพิมพ์ ชื่อโปรแกรม ใน terminal
$vuze
หรือ
$azureus
นอกจากนั้นก็สามารถเพิ่มให้ main menu ได้อีกด้วย
ได้ให้ไปที่ System > Main Menu >internet >New Item
ให้เลือก
Type : Application
Name : vuze
Command : vuze
เท่านี้เราก็จะมีโปรแกรมโหลดบิทที่ดูดีใช้งานง่าย
หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไวั ณ ที่นี่ด้วย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)